Diary no.6 Tuesday,12 September 2560.
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 6
การจัดประสบการณ์วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
Science Experiences Management For Early Childhood
วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ.2560 เวลา 08.30 - 12.30 น.
Story of subject (เนื้อหาที่สอน)
วันนี้อาจารย์ได้ตรวจความเรียบร้อยของ blogger ของแต่ละบุคคล โดยอาจารย์ได้ให้คำแนะนำแก่นักศึกษาแต่ละคนอย่างละเอียด หลังจากนั้น เพื่อนได้นำเสนอวิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่มีต่อทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย
แนวคิดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
-การเปลี่ยนแปลง (Change)
-ความแตกต่าง (Variety)
-การปรับตัว (Adjustment)
-การพึ่งพาอาศัยกัน (Muturity)
-ความสมดุลย์ (Equilibrium)
องค์ประกอบของวิทยาศาสตร์
-องค์ประกอบด้านความรู้ (เนื้อหา)
-องค์ประกอบด้านเจตคติ
-องค์ประกอบด้านกระบวนการ
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (เนื้อหา)
♦ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไข 3 ประการ ดังนี้ (สุวัฒน์ นิยมค้า.2531:11)
-จะต้องเป็นความรู้ของธรรมชาติ
-จะต้องได้จากการใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์เข้าศึกษาค้นคว้า
-จะต้องเป็นความรู้ที่ผ่านการทดสอบ หรือยืนยันแล้วว่าเป็นความจริง
♦ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ สามารถจำแนกออกเป็น 5 ประเภท
1.ข้อเท็จจริง (Fact) เช่น
-1.1น้ำละลายในน้ำตาลได้
-1.2น้ำไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ
-1.3พืชที่ไม่ได้รับแสง ใบและลำต้นจะมีสีขาวซีด
2.มโนมติหรือความคิดรวบยอด (Concept)
-2.1แมวเป็นสัตว์มี 4 ขา มีหนวด เลี้ยงลูกด้วยนม
-2.1แมลง คือ สัตว์ที่มี 6 ขา และลำตัวแบ่งเป็น 3 ส่วน
3.หลักการ (Principle) เช่น
-3.1ก๊าซเมื่อได้รับความร้อนจะขยายตัว
-3.2ขั้วแม่เหล็กเหมือนกันจะผลักกัน ขั้วแม่เหล็กต่างกันจะดูดกัน
4.กฏ (Law) เช่น
-4.1น้ำเมื่อเย็นลงจนเป็นน้ำแข็ง ปริมาตรของมันจะมากขึ้น
-4.2วัตถุจะเคลื่อนที่ หรือหยุดนิ่ง หรือจะเปลี่ยนแปลงความเร็ว จะต้องมีแรงภายนอกไปกระทำ
5.ทฤษฎี (Theory)
ดังนั้น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จึงประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด สมมติฐาน กฎหรือหลักการ และทฤษฎี แต่ละองค์ประกอบเป็นความรู้จากธรรมชาติ ซึ่งเป็นความจริงและเป็นที่ยอมรับทั่วไป
สำหรับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยนั้นควรจะเป็นความรู้เบื้องต้นอย่างง่ายๆ ในแต่ละองค์ประกอบซึ่งได้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จากการเสาะแสวงหาด้วยตนเอง โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์มากกว่า การให้ความรู้ที่เป็นเพียงข้อเท็จจริง โดยวิธีการบอกเด็ก แต่เพียงอย่างเดียว
วิธีการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
♦ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) มีดังนี้ คือ
-ขั้นสังเกต (Observation)
-ขั้นตั้งปัญหา (State Problem)
-ขั้นตั้งสมมติฐาน (Make a Hypothesis)
-ขั้นทดสอบสมมติฐาน (Testing Hypothesis)
-ขั้นสรุป (Conclusion)
เจตคติทางวิทยาศาสตร์
♦ นักวิทยาศาสตร์ : ยึดมั่นในอิสระและเสรีภาพแห่งความคิด เคารพความจริงและข้อเท็จจริง อดทนรอคอยความรู้จากความพยายามของตน ทำงานด้วยความรัก โดยไม่คำนึงถึงความรู้ที่ได้มานั้นจะเป็นประโยชน์ต่อใคร อะไร ที่ไหน ตนจะได้รับประโยชน์จากการศึกษาหรือไม่
-ความอยากรู้อยากเห็น
-ความเพียรพยายาม
-ความมีเหตุผล
-ความซื่อสัตย์
-ความมีระเบียบและรอบคอบ
-ความใจกว้าง
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
♦ สมาคมอเมริกันเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (American Association for the Advancement of Science-AAAS) กำหนดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไว้ 13 ทักษะ ประกอบด้วย ทักษะขั้นพื้นฐาน (Basic science skill) 8 ทักษะ และทักษะขั้นผสม หรือบูรณาการ (Integrated science process skills) 5 ทักษะ ดังนี้
ทักษะขั้นพื้นฐาน
-ทักษะการสังเกต
-ทักษะการวัด
-ทักษะการคำนวณ
-ทักษะการจำแนกประเภท
-ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ และสเปซ์กับเวลา
-ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล
-ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล
-ทักษะการพยากรณ์
ทักษะขั้นผสมหรือบูรณาการ
-ทักษะการตั้งสมมติฐาน
-ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ
-ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร
-ทักษะการทดลอง
-ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป
Adoption (การนำไปใช้)
นำความรู้ที่ได้ไปจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็กในภายภาคหน้าได้ และนำความรู้ที่ได้ไปจัดประสบการณ์ได้อย่างถูกต้อง
Assessment (การประเมิน)
- ตนเอง เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจฟังอาจารย์สอน
- อาจารย์ อธิบายเพิ่มเติมเนื้อหาให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
- บรรยากาศ เงียบสงบ ทุกคนให้ความร่วมมือในการเรียน ไม่ส่งเสียงดัง
การเปลี่ยนแปลง = Change
ความแตกต่าง = Variety
การปรับตัว = Adjustment
หลักการ = Principle
กฎ = Law
ทฤษฎี = Theory